วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เหยื่อปลอม



สวัสดีครับ เพื่อน ๆ นักตกปลาทุกท่าน มาแล้วครับ มาแล้วครับ เทคนิคการตกปลาช่อนภาค 2 หลาย ๆ ท่านคงได้อ่านวิธีการตกปลาช่อนในภาคที่ 1 กันไปบ้างแล้วนะครับ ลองนำไปใช้กันบ้างหรือเปล่าครับ หวังว่าน่าจะประสบความสำเร็จกันนะครับ มาวันนี้ผมนำเทคนิค การตกปลาช่อน โดยการใช้เหยื่อประเภทเหยื่อใต้น้ำมาบอกเล่าสำหรับเทคนิคและวิธีตกจะมีอะไร บ้างนั้น ต้องลองติดตามอ่านกันเอาเองนะครับ
มาต่อกันเลยนะครับ บอกทุกท่านนิดนึงนะครับ สำหรับวิธีการตกปลาช่อนนั้นสามารถนำไปใช้กับปลาชะโดได้ด้วยนะครับ มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ การตกปลาช่อนโดยการใช้เหยื่อใต้น้ำนั้น ก็จะเป็นเหยื่อประเภทปลาซะส่วนใหญ่นะครับ อีกพวกก็คงจะเป็นพวกเหยื่อยางรูปแบบต่าง ๆ นะครับ แล้วที่ลืมเสียไม่ได้ก็คือเหยื่อปลอม มาเริ่มกันที่เหยื่อตามธรรมชาติ กันก่อนเลยนะครับ1. เหยื่อปลา(ปลาเป็น ๆ) การตกปลาช่อนโดยการใช้เหยื่อปลาเป็นนั้น ปลาที่นำมาใช้นั้นได้แก่ปลาขนาดเล็ก ๆ ไม่โตมาก สำหรับที่เห็นใช้กันบ่อย ก็จะมีจำพวก ปลาไหล ปลาดุก ปลาช่อนขนาดเล็ก ๆ ขั้นตอนวิธีการตก การตกปลาด้วยวิธีนี้นะครับการใช้ปลาที่ยังไม่ได้ให้ปลาว่ายน้ำเพื่อล่อให้ปลาช่อนเข้ามากินปลาที่เหยื่อล่อ อุปกรณ์ที่ต้องใช้เสริมเข้ามาก็จะเป็นพวกทุ่นเพื่อให้เราสามารถมองเห็นว่าปลาเข้ามากินเหยื่อหรือไม่ และที่สำคัญก็จะช่วยให้เราลอยสายได้นั้นเอง การเกี่ยวเหยื่อเป็นนั้น ก็ต้องมีเทคนิคในการเกี่ยวเช่นกัน เพราะถ้าหากเราเกี่ยวเหยื่อจนเหยื่อช้ำก็จะทำให้เหยื่อตายเร็ว การเกี่ยวเหยื่อส่วนใหญ่จะเกี่ยวกันบริเวณหลังของปลาเหยื่อ บ้างก็เกี่ยวปลายหาง ให้เลือกเกี่ยวในส่วนที่ปลาเหยื่อเคลื่อนไหวน้อยที่สุดก็จะดีครับ การตกแบบนี้ยังสามารถนำมาใช้กับเหยื่อจำพวกกุ้ง หรือกบ เขียดเป็น ๆ ที่นำมาเป็นเหยื่อได้เช่นกัน2.การใช้เหยื่อยาง (เหยื่อปลอม) การใช้เหยื่อยางนั้น อาจจะพูดได้ว่าเรื่องการเตรียมเหยื่อ หรืออุปกรณ์ในการตกนั้นเหมือนกับการตกปลาช่อนในภาคที่ 1 เลยก็ว่าได้ เหยื่อประเภทเหยื่อยางนั้นส่วนมากจะมีน้ำหนักค่อนข้างเบา เราอาจจะใช้ตะกั่วขนาดเล็กมาติดไว้ตรงบริเวณสายหน้าสักนิด เพื่อให้เราสามารถตีสายได้ไกลขึ้น ส่วนที่สำคัญสำหรับการตกปลาช่อนโดยใช้เหยื่อยางแล้วตกใต้น้ำนั้นจะขึ้นอยู่กับวิธีการตกครับ

การตกปลาซ่อน



การตกปลาช่อนก็เป็นอีกประเภทหนึ่งของการใช้เหยื่อปลอม ซึ่งเป็นที่สนุกอีกแบบหนึ่ง ต้องใช้การคำนวน,ความคาดเดาที่มากพอสมควร เกือบทุกหนอง,คลอง,บึง,ร่องน้ำคันนา,ร่องสวน จะมีปลาช่อนอาศัยอยู่ นักตกปลาจึงสามารถลุยไปค้นหาได้เกือบทุกที่ แต่การจะนำตัวมันขึ้นมาให้ได้นั้นก็ต้องใช้ฝีมือนิดหน่อย สำหรับอุปกรณ์ที่ตก เนื่องจากปลาช่อนเป็นปลาขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงสามารถใช้อุปกรณ์แบบเบาๆหรือเป็นชุดที่ใช้ตกปลาเกร็ด ก็ยังได้ครับ สมมติถ้าใช้ชุดปลาเกร็ดก็ใช้สายเอ็นมัดกับกิ๊บแล้วเปลี่ยนใส่เหยื่อปลอม ลุยได้เลย (ประหยัดด้วยครับ ไม่ต้องหาซื้อชุดอุปกรณ์แพงๆ) คันเล็กๆ รอกเล็กๆ ยิ่งเพิ่มอรรถรสในการเย่อมากขึ้น.......... เหยื่อปลอมที่มักจะใช้ในการตกปลาช่อนก็จะเป็นพวก กระดี่,หนอน,spinner เป็นต้น แต่ไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป จะทำให้ปลาไม่โฉบกัดเหยื่อได้ วิธีการการตีและลากเหยื่อ ก็มีหลายแบบ- ใช้การตีแล้วค่อยๆลากให้เหยื่อไถลไปกับพื้นใต้น้ำ หมุนรอกกลับช้าๆ รอจังหวะปลาโฉบเหยื่อ จะมีอาการหนักๆตื้อๆบริเวนปลายคัน ก็ให้วัดสวนได้เลย - ใช้การตีแล้วลากมาพร้อมกระตุกคันขึ้นลงเล็กน้อง action ของเหยื่อจะวิ่งขึ้นลงไปมาใต้น้ำ เรียกความสนใจจากเจ้าช่อนได้เหมือนกัน ทั้งนี้เวลาที่เหมาะสมในการตีปลาช่อน คือช่วงเช้าๆกับเวลาค่ำ โพล้เพล้ๆหน่อย จะมีโอกาสได้ตัวสูง อีกทั้งอากาศไม่ร้อน เดินตีเลาะขอบตลิ่งไปเรื่อยๆ สบายๆ เป็นความสุขในการตกปลาอีกแบบ ..............(รูปทั้งหมด ตกได้ที่บ่อ ไทซาง แม่ริม ตอนนี้ปิดไปแล้ว)........ ทั้งหมดเป็นประสบการณ์คร่าวๆ นำมาเล่าสู่กันฟัง อาจจะมีทฤษฏีใดที่ไม่ตรงกับที่เซียนๆแต่ละท่านใช้ .....ก็คงไม่ว่ากัน จะตกปลาแล้วจะเบ่งว่า เราเจ๋งกว่าเขา แบบโน้น แบบนี้ เพื่ออะไรกันครับ ...... ตกปลาให้สนุกก็พอแล้วมิใช่หรือ (Positive Thinking มองโลกในแง่ดี ดีกว่าครับ)

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

บึกฉวาก



ประกอบด้วยตู้ปลาขนาดใหญ่สวยงาม บรรจุน้ำได้กว่า 400 ลูกบาศก์เมตร และมีอุโมงค์ความยาวประมาณ 8.5 เมตร ผู้ชมสามารถเดินลอดผ่านใต้ตู้ปลาได้บรรยากาศเหมือนอยู่ใกล้สัตว์น้ำ ซึ่งถือว่าเป็นอุโมงค์ปลาน้ำจืดแห่งแรกของประเทศไทย มีนักประดาน้ำหญิงสาธิตการให้อาหารปลา นอกจากนั้น โดยรอบยังมีตู้ปลาน้ำจืดอีก 30 ตู้ และตู้ปลาทะเลสวยงามอีก 7 ตู้
อาคารแสดงสัตว์น้ำหลังที่ 3 จัดแสดงพันธุ์ปลาทะเลมากมายหลายชนิดให้ชมกัน มีตู้ปลาขนาดใหญ่และตุ้ปลาทรงแปลกตา เพื่อคอยบริการนักท่องเที่ยวให้ได้ชื่นชมกับความสวยงาม และบรรยากาศของโลกใต้ทะเล รวมทั้งอุโมงปลาและบันไดเลื่อนขนาดยาว 75 เมตร เพื่อให้ได้ศึกษาความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งบ้านของเจ้าแห่งท้องทะเลหรือปลาฉลาม อีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท วันจันทร์ - ศุกร์ เปิดเวลา 10.00 – 17.00 น. วันเสาร์ - อาทิตย์ เปิดเวลา 09.00 – 18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-3543-0043-4, 0-3543-0033
"บ่อจระเข้น้ำจืด" เป็นบ่อจระเข้ที่ได้จำลองให้มีสภาพใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มีจระเข้น้ำจืดพันธุ์ไทยขนาด 1.5 – 4 เมตร ประมาณ 60 ตัว ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นความเป็นอยู่แบบธรรมชาติของจระเข้ และสามารถเข้าชมอย่างใกล้ชิด มีการแสดงจระเข้วันเสาร์ - อาทิตย์ รอบ 11.00 น./12.30 น./14.00 น. และ 15.30 น.
"กรงเสือและสิงโต" ลักษณะภายในตกแต่งเป็นถ้ำและเนินหินให้ดูคล้ายสภาพธรรมชาติ ซึ่งเป็นกรงเลี้ยงสัตว์ป่าตระกูลแมว อันได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือลายเมฆ เสือดาว แมวดาว เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีกรงสัตว์ป่าหายากอีกหลายประเภทที่จัดแสดงไว้ เช่น นกน้ำ นกยูงและไก่ฟ้าชนิดต่างๆ ม้าลาย อูฐ และนกกระจอกเทศ เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-3543-9206, 0-3543-9210
"อุทยานผักพื้นบ้านเพื่อการยังชีพเฉลิมพระเกียรติบึงฉวาก" อยู่ในความดูแลของกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทั่วไปเห็นคุณค่า และอนุรักษ์ผักพื้นบ้าน โดยรวบรวมผักพื้นบ้านจากทั่วภูมิภาคของประเทศไทยกว่า 500 ชนิด มาปลูกไว้ในบริเวณเกาะกลางบึงฉวาก มีทั้งสมุนไพร ไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย ไม้ล้มลุก และไม้ชื้นแฉะที่น่าสนใจ ได้แก่ น้ำเต้าสี่เหลี่ยม บวบหอมขนาดใหญ่ อุโมงค์น้ำพุ และการจัดสวนไม้ประดับด้วยผักพื้นบ้านนอกจากนั้น ยังมีโรงปลูกพืชระบบระเหยน้ำ และสาธิตการปลูกพืชไร้ดินจัดแสดงให้ชมด้วย และมีห้องสมุดบริการคอมพิวเตอร์สำหรับค้นคว้าข้อมูลพันธุ์ผักต่างๆ ห้องนิทรรศการแสดงผลผลิตทางการเกษตร ศูนย์บริการท่องเที่ยวเกษตรอุทยานผักพื้นบ้านฯ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.08-1948 -9214, 0-9836-1358
การเดินทาง
การเดินทางโดยรถยนต์เริ่มจากถนนสายตลิ่งชัน – สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340) ระยะทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 160 กิโลเมตร เมื่อถึงอำเภอเดิมบางนางบวช สามารถเข้าได้ 2 ทาง คือ1. บนทางหลวงหมายเลข 340 กิโลเมตรที่ 147 ด้านซ้ายมือ จะมีป้ายทางเข้าบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ และทางเข้าวัดเดิมบาง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนซอยข้างวัด ข้ามแม่น้ำแล้วตรงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงสามแยกตัดกับถนนเลียบคลองชลประทานให้เลี้ยวขวาไปตามถนน จนพบสะพานข้ามคลองชลประทานด้านซ้ายมือให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานแล้ว ตรงไปเรื่อยๆ จะถึงบึงฉวาก2. บนทางหลวงหมายเลข 340 กิโลเมตรที่ 151 ด้านซ้ายมือ จะมีป้ายทางเข้าบึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนข้าม สะพานบึงฉวากแล้วตรงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงสามแยกตัดกับถนนเลียบคลองชลประทาน ให้เลี้ยวขวาไปตามถนน จนพบสะพานข้ามคลองชลประทานซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานแล้วตรงไปเรื่อยๆ จะถึงบึงฉวาก

เหยื่อตกปลา


เหยื่อตกปลาสูตรจี้ดจ้าดแห่งยุคถ้าคุณมีปัญหาตกปลาเหยื่อไม่ถูกใจปลาปลาไม่กินเหยื่อ เราขอแนะนำTOPFISH เหยื่อตกปลาชนิดผงที่ผสมน้ำใช้ได้ทันที คุณจะมีความสุขกับการตกปลาเพราะเหยื่อของเราเป็นเหยื่อที่ทำให้ปลาเข้ามากินเหยื่อเร็ว เราไม่ทำขายตามร้านค้าทั่วไปเราจำหน่ายเฉพาะผู้ที่สั่งตรงกับเราเท่านั้น เพราะเป็นเหยื่อที่เราทำขึ้นไว้ใช้เฉพาะงานเช่นการแข่งตกปลาตามบ่อตกปลาทั่วไป และหมายธรรมชาติที่ปลาชุกชุม เรามี2สูตร สูตร1 เป็นเหยื่อตกปลายี่สก นวลจัน โดยเฉพาะ สูตร2เป็นเหยื่อตกปลานิลโดยเฉพาะ เราจำหน่ายให้ท่านเพียงกิโลกรัมละ100บาท สามารถส่งได้ทั่วประเทศไม่รวมค่าส่ง หากท่านต้องการเราจะจัดส่งให้ท่านทางพัสดุไปรษณีย์ซึ่งมีค่าใช้จ่าย กล่องใส่เหยื่อ20บาท ค่าจัดส่งเหยื่อกิโลกรัมแรก20บาทกิโลต่อไป15บาท สามารถโอนเงินมาได้ที่ ยอด วงศ์ละการ บัญชีเลขที่ 503-0-30868-7 สาขาลำปาง โทรมาหาเราได้ครับ0857163287รอท่านอยู่พร้อมให้คำปรึกษาครับ

สูตรเหยื่อปลาบึงสำราญ


ปลาบึกบึงสำราญ ถ้าได้เคยสัมผัสสักครั้งแล้วจะติดใจ ก็อย่างที่หลายคนบอกให้รู้ เหยื่อใช้ขอบขนมปังเอาใหม่ ๆ น่าจะดีกว่านะผสมด้วยกะทิชาวเกาะคลุกเคล้าให้เข้ากันกะให้หมาด ๆ หรือเวลาใช้ปั้นหุ้มตะกร้อแล้วตีเหยื่อออกไปแล้วไม่แตกกลางอากาศซะก่อน ลองกะดูเอาก็แล้วกัน อย่าให้เหนียวมากเกินไปนะเพราะเวลาเหยื่อลงน้ำแล้วแตกตัวช้า ปลาจะไม่ค่อยกินที่เด็ดก็คือหัวเชื้อ มะลิ นมเนย กะทิ ผสมให้เข้ากัน ใช้ฉีดเหยื่อที่หุ้มตะกร้อก่อนส่งเหยื่อลงน้ำ ใช้ขนนปังแผ่นเป็นตัวเหน็บ ไลน์สต๊อปเปอร์อยู่ประมาณ เมตรถึงสองเมตรหรือแล้วแต่ อันนี้เป็นเรื่องของสภาพน้ำและภูมิอากาศบางที่ก็กินผิวน้ำ บางที่ก็กินกลางน้ำ ลองไล่ไลน์สต๊อบเปอร์ดู แพกลางทางด้านบ่อใหญ่นะ ตีเหยื่อให้ห่างจากแพประมาณ 50 ถึง 60 เมตร หรือให้ลองสังเกตดู ว่าฝูงปลาอยู่ไกลจากแพประมาณเท่าใด พยายามตีเหยื่อให้เข้าใกล้ฝูงมากที่สุดจะดี เท่าที่ไปตกเราจะอยู่ประมาณซุ้ม 38 ถึง 40 ใช้ได้ทั้งปลาสวายและปลาบึก มีบ่อยครั้งที่กินคามือเลย ลืมบอกวิธีการผสมหัวเชื้อ ให้ใช้มะลิครึ่งขวด นมเนย 1 ขวด กะทิ 1 กล่อง ลองดูแล้วกันนะ ถ้าได้ผลอย่างไรบอกให้ทราบด้วย *ตอนนี้บึงสำราญไม่แจกคูปองแล้ว เราพึ่งไปมาเมื่อวันเสาร์นี้เอง*

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552


ราฟาเอล เบนิเตซ เทรนเนอร์ ลิเวอร์พูล เผยซึบซัมความผิดพลาด ทิ้งแต้มหล่นหายให้ทีมท้ายตารางคา แอนฟิลด์ จนพลาดแชมป์เมื่อซีซั่นก่อน เป็นบทเรียนมาปรับปรุงแท็กติกใหม่ในปีนี้ ก่อนยำใหญ่ "เดอะ คลาเร็ตส์" สนุกเท้า 4-0 ชมเปาะ ยอสซี่ เบนายูน แฮตทริกฮีโร่ กำลังทำผลงานสุดแจ่ม หลังเข้าใจถึงบุคลิกการเป็นนักเตะ ชุดใหญ่ของ "หงส์แดง" เรียบร้อยแล้ว ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือสแปนิช ลิเวอร์พูล สโมสรชั้นนำใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับ พลพรรค "หงส์แดง" เรียนรู้จากความผิดหวัง ต้องเสียแต้มแบบไม่น่าเสียในถิ่น แอนฟิลด์ เมื่อฤดูกาลก่อน ทำให้เดินหน้าบุกถล่ม เบิร์นลี่ย์ ทีมน้องใหม่ไฟแรง ขาดลอย 4-0 ในการแข่งขัน เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

การเลี้ยงปลาดุกยักษ์

ปมมรณะ สำหรับผู้เลี้ยงปลา
ในปัจจุบันการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเกษตรกรส่วนใหญ่ประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคสัตว์น้ำตลอดมาหลายท่านคงอยากรู้ว่าปมมรณะคืออะไรผมจะบอกให้ก็แล้วกันก็คือโรคแสนปมหลายท่านอาจจะไม่รู้จักหรือเรียกง่ายๆว่าโรคหูดปลาบอกเท่านี้คงจะรู้จักกันนะ โรคนี้อาจจะไม่มีความรุนแรงแต่จะทำให้สัตว์ทยอยตายลงไปก่อนที่จะทำความรู้จักกับโรคแสนปมผมจะพาไปดูประวัติความเป็นมาเสียก่อนก็แล้วกัน โรคแสนปมเมื่อเกิดกับปลาแล้วจะทำให้ลำตัวเกิดเป็นปุ่มปมทั่วไปหมด โรคนี้เกิดขึ้นประมาณ 100 ปีมาแล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรป เมื่อก่อนเข้าใจว่าปลาเป็นโรคเนื้องอกและมีสาเหตุมาจากปรสิตขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต่อมาไม่นานมีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ วีเซนเบิร์ก ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวพบว่าเชื้อที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ เชื้อไวรัส (Iridovirus) อาการที่มองเห็นจากภายนอก คือ จะมีปุ่มปมเห็นตุ่มหูดนี้เกาะบริเวณผิวลำตัว และครีบ คล้ายหูดที่มีสีขาวขุ่นและมีสีครีมปนชมพู นอกจากนี้ก็ยังพบปุ่มปมเหล่านี้ในอวัยวะภายในด้วยเช่นกัน อาการเหล่านี้เองซึ่งเป็นที่มาของโรคแสนปมหรือลิมโฟซิสทิส (Lymphocystic) โรคนี้เกิดขึ้นได้กับปลาหลายชนิดทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำทะเล ในประเทศไทยเท่าที่มีรายงานพบว่า โรคนี้มักเกิดกับปลากะพงขาวทั้งที่เลี้ยงในน้ำจืด และในกระชัง ในน้ำทะเล ปลาตะกรับหรือภาษาใต้เรียกว่า ปลาขี้ตัง ที่เลี้ยงเป็นปลาสวยงาม เมื่อปลาเป็นโรคนี้แล้วจะมีลักษณะน่าเกลียดไม่สามารถนำไปขายตามท้องตลาดได้ นอกจากนั้นเมื่อปุ่มปมนี้แตกออกบริเวณนั้นก็จะเกิดแผลเป็นสาเหตุให้ปลาตายได้ และเชื้อไวรัสก็จะแพร่กระจายไปยังปลาตัวอื่นในบ่อหรือกระชังที่อยู่ใกล้ ๆ กันทำให้เกิดการระบาดของโรค มีรายงานว่าปลาที่เป็นโรคแสนปมแล้วรอดตายก็จะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้เอง โดยธรรมชาติทุกคนคงอยากจะรู้ว่าโรคแสนปมนี้มีวิธีการป้องกันรักษาอย่างไร ผมจะบอกให้ฟัง โรคแสนปมยังไม่มียาที่รักษาได้ผล ดังนั้นการป้องกันการเกิดโรคจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดกับการเลี้ยงปลาถ้าหากมีการระบาดของโรคแสนปมเกิดขึ้นในแหล่งที่คนเลี้ยงปลาอยู่หรือมีโรคเกิดขึ้นในบ่อเลี้ยงปลาของคุณเอง สิ่งที่ควรจะต้องกระทำคือ พยายามจัดการเรื่องคุณภาพน้ำในบ่อให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม โดยการลดปริมาณอาหารลง เพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำ ควบคุมค่าพีเอชของน้ำให้คงที่หรือมีค่าประมาณ 6.5-7.5 หรือแยกปลาที่เป็นโรคออกให้หมดและทำลายโดยการฝังดินและกลบด้วยปูนขาวเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรคต่อไป ส่วนปลาที่ไม่เป็นโรคก็ควรจะย้ายไปไว้ในบ่อใหม่และกักไว้ประมาณ 2 เดือนเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อโรคนั้นหมดไปแล้ว ส่วนบ่อปลาที่เกิดโรคนี้ระบาดต้องมีการถ่ายน้ำออกให้หมด พร้อมทั้งทำการฆ่าเชื้อด้วยปูนขาวหรือสารละลายด่างทับทิมเพื่อลดปริมาณสารพิษต่าง ๆ แต่ถ้าหากคุณเลี้ยงปลาไว้แน่นเกินไปก็ควรหาทางลดจำนวนปลาในบ่อลง ด้วยการกระจายปลาไว้บ่ออื่นนั่นเอง แต่ถ้าปลาที่คุณเลี้ยงไว้ในตู้กระจกแล้วเกิดเป็นโรคนี้ขึ้นคุณอาจจะช่วยได้ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิน้ำให้สูงขึ้นจากปกติเป็น 30-31 °C โดยการใช้เครื่องทำความร้อน (heater) ปลาก็จะหายจากโรคนี้ได้เร็วขึ้น ถ้าผู้เลี้ยงสามารถควบคุมเรื่องการจัดการฟาร์มที่ดีโรคนี้ก็จะค่อย ๆ หายไปเอง ปลาที่แข็งแรงแผลที่เกิดจากการแตกของปุ่มปมเหล่านั้นจะค่อย ๆ สมานได้เองโดยธรรมชาติ ผู้เลี้ยงบางคนอาจจะใช้ยาปฏิชีวนะผสมกับอาหารให้ปลาป่วยกินเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรียก็ได้เอกสารอ้างอิงสุปราณี ชินบุตร.2536.โรคแสนปม.ว.โรคสัตว์น้ำ.ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ธันวาคม หน้า 1-2. นิรนาม. 2550. โรคหูดปลาหรือโรคแสนปม.[Online]Avaikable : http://www.vetmu.com/Wpage/article/fish.html

การเลี้ยงกล้วยไม้



1. ชื่อกล้วยไม้ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้นั้นพิถีพิถันในเรื่องชื่อของกล้วยไม้แต่ละต้นเป็นพิเศษ ซึ่งต่างไปจากการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ นอกจากจะรู้จักชื่อแล้วยังต้องค้นหากันต่อไปว่าเป็นชนิดแท้หรือลูกผสมถ้าเป็นลูกผสมยังต้องสืบเสาะต่อไปว่าอะไรผสมกันกับอะไร เช่นสมมุติว่ามีกล้วยไม้ต้นหนึ่งชื่อแวนดารอธไชล์เดียนา(VandaRothschildiana)ซึ่งเป็นลูกผสมดอกสีฟ้าก็ต้องทราบต่อไปว่าเป็นลูกผสมระหว่างแวนดาแซนเดอรานากับฟ้ามุ่ย บางทีรู้เท่านี้ยังไม่พอ ต้องสืบเสาะต่อไปอีกว่า ฟ้ามุ่ยที่เอามาผสมเป็นฟ้ามุ่ยต้นไหน แซนเดอรานาก็เหมือนกันต้องสืบให้รู้ ทั้งนี้เพราะกล้วยไม้ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ถึงแม้จะเป็นกล้วยไม้ชนิดเดียวกันก็มิใช่ว่าจะให้ลูกที่มีคุณลักษณะดีเหมือนกันได้ จึงต้องสืบประวัติอย่างละเอียด จากความพิถีพิถันดังกล่าวมานี้ทำให้ผู้ริเริ่มเล่นกล้วยไม้ใหม่ ๆ ชักท้อใจ ด้วยจดจำชื่อของกล้วยไม้ไม่ไกล้วยไม้
กล้วยไม้ไทย เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว และเป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน การเลี้ยง กล้วยไม้ไทย ใประเทศไทยจึงได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2450 ในหมู่ของผู้สูงอายุและมีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอสมควร การส่งเสริมการเลี้ยง กล้วยไม้ไทย ได้เริ่มพันธุ์ต่างๆจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยง และมีการผสมพันธุ์กันบ้างแต่ยังจำกัดวงอยู่เช่นเดิม ความรู้ทางวิชาการจึงมิได้กระจายออกไปเท่าที่ควร และทรัพยากรต่างๆ ก็ยังมิได้เกิดประโยชน์อย่างชัดเจนด้วย ใน พ.ศ. 2495 จึงได้มีการเปิดแนวความคิดใหม่ออกไปสู่มุมกว้าง ได้มีการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ ในการเพาะ เมล็ดกล้วยไม้หรือ กล้วยไม้ไทย แบบวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพสูง และนำออกเผยแพร่ เพื่อให้คนทุกระดับฐานะนำไปปฏิบัติได้ อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนรักและสนใจต้นไม้ เพื่อการพัฒนาทางจิตใจ และเป็นการส่งเสริมการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจด้วย
และไทยยังค้นพบ กล้วยไม้ไทย พันธุ์ต่างๆ เช่น กล้วยไม้รองเท้านารี กล้วยไม้ในสกุลแวนดา (Vanda) คัทลียา (Cattleya) และสกุลเดนโดรเบียม (Dendrobium) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า สกุลหวาย กล้วยไม้ประเภทนี้จะมีลักษณะแปลกออกไปคือ มีรากใหญ่ ยาวและแตกแขนงรากอย่างโปร่งๆ เป็นรากอากาศ แม้จะเกาะกับต้นไม้ ก็จะมีส่วนที่ยาวและห้อยลงมาในอากาศด้วย แต่รากกล้วยไม้สกุลคัทลียาและเดนโดรเบียมมีลักษณะค่อนข้างเล็กละเอียดและหนาแน่นไม่โปร่งอย่างแวนดาบางตำราจึงแยกกล้วยไม้สกุลคัทลียาและเดนโดรเบียมไปไว้ในประเภทกึ่งอากาศ ของ กล้วยไม้ไทย หว บางท่านคงนึกประหลาดใจว่า ทำไม่คนที่เล่นกล้วยไม้มานาน ๆ จึงจดจำได้เก่งเรื่องนี้ไม่ใช ่เรื่องแปลกแต่อย่างใดอาศัยความคุ้นเคย ความใกล้ชิดผ่านหูผ่านตาบ่อย ๆ ก็จำได้เองยิ่งมีหลักในการจำแนกกล้วยไม้อยู่ในสมองด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้จดจำง่ายขึ้น และเลือกจดจำประเภทหรือสกุลที่ตนสนใจเท่านั้น การจำแนกกล้วยไม้นั้นเตาจำแนกได้หลายวิธี เช่น จำแนกตามรูปทรง ตามอุณหภูมิที่ต้องการ ตามความนิยมของผู้ปลูกเลี้ยงและตามหลักวิชาทางพฤกษศาสตร์ เป็นต้นในที่นี้จะกล่าวเฉพาะการจำแนกประการหลังซึ่งจะเป็นหลักในการจดจำชื่อเสียง และสามารถเขียนอ่านได้ถูกต้อง พืชมีการจำแนกเป็นชั้นต่ำ ชั้นสูง คือเริ่มจากพืชเซลล์เดียวขึ้นมาเป็นพืชหลายเซลล์ แต่ไม่แตกเป็นรากเป็นลำต้น เป็นใบ เช่น พวกเชื้อราต่าง ๆ สูงขึ้นมามี ราก ลำต้น ใบครบ แต่ไม่มีดอก เช่น พวกมอสและเฟิน สูงสุดคือ พวกพืชมีดอก เช่น ข้าว พริกมะเขือเป็นต้น ในพวกพืชมีดอกก็แบ่งย่อยออกเป็น 2 พวก คือ พวกมีใบเลี้ยงคู่ เช่น ถั่ว มะม่วง พุทรา ผักกาดพวกมีใบเลี้ยงเดี่ยว เช่น ข้าวหญ้า กล้วย ขิง ข่า ตะไคร้ และกล้วยไม้ การจัดแบ่งนี้ยึดถือหลักการที่ว่าพวกมีลักษณะใกล้เคียงกันก็รวมไว้ในพวกเดียวกัน ถ้ามีลักษณะผิดแผกออกไปก็แยกไว้อีกพวกหนึ่ง สำหรับพืชมีดอกนั้นยึดถือดอกเป็นลักษณะสำคัญในการจัดแบ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบการจำแนกพืชกับสิ่งอื่นแล้ว ก็ขอเทียบกับการจัดแบ่งการปกครองของประเทศไทย การจัดแบ่งทั้งสองแบบที่นำมาเปรียบเทียบกันนี้ ถือความใกล้ชิดกันเป็นหลักต่างกันที่ว่าการจัดแบ่งการปกครองใช้ความใกล้ชิดเรื่องที่ตั้ง คือ หลาย ๆ หมู่บ้านอยู่ใกล้กันก็รวมเป็น 1 ตำบล หลาย ๆ ตำบลอยู่ใกล้กันก็รวมเป็น 1 อำเภอ ฯลฯ ส่วนสิ่งมีชีวิตอาศัยความใกล้ชิดกันในเรื่องรูปร่างลักษณะ คือ หลาย ๆ ชนิดที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกันที่รวมไว้ในสกุลเดียวกัน หลาย ๆ สกุลที่คล้ายกันก็รวมไว้ในวงศ์เดียวกัน กล้วยไม้ทั้งหมดในโลกนี้จัดรวมไว้ในกระกูลเดียวกัน คือ ตระกูลกล้วยไม้ หรือนิยมเรียกกันว่าวงศ์กล้วยไม้(Family Orchidaceae)พืชในวงศ์กล้วยไม้ทั้งหมดจำแนกออกได้ประมาณ 650 สกุล แต่มีที่มนุษย์สนใจนำมาปลูกเลี้ยงแลผสมพันธุ์ผลิตลูกผสม 170 สกุลเท่านั้น ในจำนวนนี้มีการนำมาผสมข้ามสกุลกันประมาณ150 สกุล มีสกุลใหม่ที่เกิดจากการผสมข้ามสกุลประมาณ 550 สกุล

การเลี้ยงปลาทอง


6 วิธีการเพาะปลาทอง
ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์ได้อย่างง่ายๆ โดยวิธีการเพาะแบบช่วยธรรมชาติ ปกติปลาทองจะมีการแพร่พันธุ์วางไข่ในตู้กระจกหรือบ่อที่ใช้เลี้ยงอยู่แล้ว ซึ่งมักจะไล่ผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าของวันถัดไปหลังจากที่ผู้เลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้ แต่ที่ผู้เลี้ยงไม่พบว่ามีลูกปลาทองเกิดขึ้นในตู้เลี้ยงปลา เนื่องจากว่าปลาทองเป็นปลาที่ไข่ทิ้งไม่มีการดูแลรักษาไข่ เมื่อวางไข่แล้วก็จะหวนกลับมากินไข่ของตัวเองอีกด้วย นอกจากนั้นปลาทองตัวอื่นๆหรือปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงรวมอยู่ในตู้ด้วย ก็จะคอยเก็บกินไข่ที่ออกมาด้วย กว่าที่ไข่ที่เหลืออยู่จะฟักตัวออกมา ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 - 3 วัน ไข่ก็จะถูกปลาทยอยเก็บกินไปเกือบหมด ส่วนไข่ที่รอดจากถูกกินจนตัวอ่อนฟักตัวออกมา ตัวอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีของปลาต่างๆอีก เพราะลูกปลาจะมีขนาดพอๆกับลูกน้ำ ทำให้ถูกจับกินไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหากต้องการลูกปลาทองก็จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะให้ถูกต้อง จึงจะได้ลูกปลาจำนวนมากตามต้องการ การเพาะปลาทองจะทำได้ดี คือ ปลาวางไข่ง่าย ตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง เดือนกันยายน โดยดำเนินการตามขั้นตอน